Gaslighting เป็นกลวิธีที่ถูกนำมาใช้ในการบงการชีวิตของบุคคลโดยไม่เห็นแก่ตัวเอง โดยการยับยั้งการตั้งคำถามและเปิดเผยความจริงของเหตุการณ์ นับว่าเป็นวิธีที่ซับซ้อนและหลอกลวงอย่างมหาศาล
หลายครั้ง Gaslighting เกิดขึ้นเรื่องง่ายๆ ที่เราอาจไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้สังเกต อย่างเช่น เพื่อนที่บอกเราว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบโดนเช้าในวันที่เรามีนัด แต่แล้ววันต่อมาเขากลับเรียกเราว่าเราสายอยู่ หรือบุคคลที่เรามีความสัมพันธ์ดีกันมานาน แต่กลับมีเสียงสั่นที่บอกว่าเขาไม่ไว้ใจเรา ทั้งนี้เพื่อให้เราเข้าใจและเชื่อว่าเรามีความผิดพลาด หรือมีสิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นกับเรา

การเป็นเหยื่อของ Gaslighting อาจทำให้เรารู้สึกเป็นคนผิดและเสียความมั่นใจในตนเองได้ เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นและรู้เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จนนำไปสู่การยอมรับสิ่งที่ไม่เป็นจริง เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดคุยและเจอกับความไม่สบายใจในตัวเอง
นอกจากนี้ เราอาจพบ Gaslighting ในที่ทำงาน ซึ่งอาจมาจากเพื่อนร่วมงานหรือผู้บริหาร การใช้กลวิธีนี้ใ
สัญญาณที่บ่งบอกถึง Gaslighting
Gaslighting เป็นกลวิธีที่อาจจะไม่เห็นได้ชัดเจนเมื่อเริ่มต้น แต่เมื่อต่อยอดไปก็จะสังเกตได้ว่ามีสัญญาณที่บ่งบอกถึงการที่เราถูก Gaslighting อยู่
1. เห็นได้ชัดว่าโกหก
Gaslighter จะเปลี่ยนเรื่องหรือโกหกให้เราสับสน และไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรดี โดยทำให้เราต้องตั้งคำถามกับตนเองว่าเราเป็นคนผิด และรู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง ผู้ Gaslighting เรียกง่ายๆ ว่าการปั่นหัวให้เรารู้สึกผิดโดยไม่รู้ตัว
2. แกล้งลืมสัญญาที่ให้ไว้ แม้จะมีหลักฐานก็ตาม
ผู้ Gaslighting อาจแกล้งลืมสัญญาที่ให้ไว้และปฏิเสธว่าไม่เคยพูด แม้ว่าจะมีหลักฐานหรือพยายามอธิบายแก่เขาก็ตาม เพื่อกำหนดความเป็นเจ้าของเรื่องราวและอำนาจในความสัมพันธ์
3. พูดอะไรแย่ๆ แต่ก็บอกว่าไม่เคยพูด
Gaslighter มักจะใช้การแสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อคนอื่น แต่กลับปฏิเสธว่าไม่เคยพูด เพื่อหลีกเลี่ยงการรับผิดชอบและสร้างภาระผูกพันในตนเอง การปฏิเสธและการบอกโกหกนี้อาจทำให
7 ประโยคที่ Gaslighter ชอบใช้ปั่นหัวเราโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าสถานการณ์ที่โดน Gaslighting อาจจะแตกต่างกันไป แต่คำพูดที่ Gaslighter ส่วนใหญ่ใช้จะคล้ายๆ กัน เมื่อโดน Gaslighting วิธีรับมือที่ดีที่สุดคือ อย่าให้ความสนใจ เพราะ Gaslighter ต้องการให้เราตั้งคำถามต่อตัวเอง จนรู้สึกหงุดหงิดและเสียสมดุล
ประโยคที่ 1: “เธอกำลังพูดอะไรอยู่”
พยายามเฉไฉ เพื่อทำให้เราตั้งคำถามกับความทรงจำหรือการกระทำของตัวเอง
ประโยคที่ 2: “ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นนะ”
พยายามทำให้เราตั้งข้อสงสัยกับความทรงจำของตัวเอง
ประโยคที่ 3: “อย่าอ่อนไหวเกินไปน่า” “อย่าเก็บเอาไปคิดมากสิ”
พยายามบอกว่าคำว่า ‘อ่อนไหว’ เป็นคำเชิงลบ และเขาเสนอตัวเองว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งและใจดีกว่า
ประโยคที่ 4: “เธอจำผิดแล้ว” “ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก”
ปฏิเสธและพยายามทำให้เรารักษาความเชื่อในตัวเองได้ต่อการจำ
ประโยคที่ 5: “ทุกคนคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว”
Gaslighter ทำการ Manipulation อย่างหนึ่งโดยพยายามทำให้เราเชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยกับเขา และทำให้เรารู้สึกแยกต่างหากจากคนอื่น ด้วยเหตุนี้ เมื่อเรารู้สึกโดดเดี่ยวและเริ่มตั้งคำถามให้กับตัวเอง จะแสดงว่าเรามีความอ่อนแอและเป็นเป้าหมายที่ Gaslighter ต้องการเข้าไปก่อกวนในหัวของเรา
ประโยคที่ 6: “ขอโทษแล้วกันที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น”
การขอโทษที่ไม่จริงจังอาจเกิดขึ้นในกรณีที่เราบอกว่าเราไม่สบายใจกับสิ่งที่ Gaslighter ทำ แต่เขากลับไม่ยอมรับผิดหรือจะหลีกเลี่ยงคำตอบ คำนี้ถือเป็นกลยุทธ์ของ Gaslighter เพื่อทำให้เรารู้สึกว่าเราได้รับการยอมรับและเข้าใจ แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้แสดงความจริงใจในการขอโทษ
ประโยคที่ 7: “ฉันก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเอง”
ประโยคที่ 7 บอกว่าเราอ่อนไหวไปและเป็นเพียงการเล่นเกมของ Gaslighter โดยทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่สามารถเล่นเกมหรือพูดอะไรได้ ผลของการ Gaslighting ที่เรื้อรังสามารถทำให้เราเริ่มสงสัยคุณค่าและความน่าเชื่อถือของตนเอง โดยการสงสัยว่า Gaslighter อาจจะถูกต้องและน่าเชื่อถือกว่าเรา แม้ว่าจะไม่ตรงกับความจริง การ Gaslighting เป็นการล้างสมองทางจิตวิทยาที่สามารถทำให้เราตกอยู่ในกลุ่มผู้ถูกคุกคามได้ ดังนั้นการรู้และเข้าใจถึงการ Gaslighting เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ