วิธีการรักษาแผลปากแตกอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการติดเชื้อและรอยแผล
แผลริมฝีปากแตกอาจเป็นกำลังใจที่ทรมานมากสำหรับคนที่พบเจอ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาการอาจเลวร้ายขึ้นและเปลี่ยนแปลงจากการระคายเคืองเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปสะสมในแผลและทำให้แผลไม่สะอาด
บทความนี้จะอธิบายวิธีการห้ามเลือดที่แผลในระยะสั้นและวิธีการรักษาแผลเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อและเกิดรอยแผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีล้างมือและการดูแลแผล
ก่อนที่จะทำแผลใดๆ คุณต้องทำความสะอาดมือให้สะอาดที่สุดเสมอ โดยเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามมือของคุณ
ขั้นตอนที่ 1: ล้างมือให้สะอาด
ใช้น้ำอุ่นและสบู่ฆ่าเชื้อสำหรับล้างมือเพื่อให้มือสะอาด หากมีเจลล้างมือฆ่าเชื้ออยู่ใช้ได้เช่นกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
ขั้นตอนที่ 2: ใส่ถุงมือ
หากมีถุงมือไวนิลหรือถุงมือยางให้ใส่เพื่อป้องกันการติดเชื้อ แต่ควรระวังให้แน่ใจว่าผู้ที่จะทำแผลไม่แพ้ยาง

แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
ขั้นตอนที่ 3: ดูแลแผลให้ถูกต้อง
การใช้วัสดุที่สะอาดและปราศจากเชื้อโรคเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ ใช้วัสดุเหล่านี้เป็นตัวกั้นระหว่างมือกับแผล
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
อย่าลืมหายใจหรือไออย่างเด็ด ขาดใกล้แผล อีกทั้งให้ผู้ที่มีเลือดออกนั่งตัวตรง และเอียงศีรษะลงมาด้านหน้าให้ปลายคางชี้ไปที่อก เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกจากแผลที่ปาก ซึ่งอาจทำให้อาเจียนหรือสำลักได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
หากมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ ร่วมกับแผลที่ปาก คุณควรไปพบแพทย์ทันที อาการเหล่านี้อาจเป็นได้แก่ฟันโยกหรือหัก กระดูกหน้าหรือขากรรไกรหัก หรือมีอาการกลืนน้ำลายหรือหายใจลำบาก
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
ในทางปฏิบัติบ่อยครั้งเมื่อได้รับบาดเจ็บจนปากแตก อาจมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ ร่วมด้วยซึ่งเกิดจากสาเหตุเดียวกัน คุณควรพบแพทย์ทันทีหากพบอาการดังกล่าว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง: องค์การอนามัยโลก (WHO)
อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บาดเจ็บได้รับวัคซีนครบตามแนะนำ
การดูแลแผลบาดทะยัก
ถ้าเหตุที่ทำให้เกิดแผลคือชิ้นส่วนโลหะ หรือวัตถุหรือพื้นผิวที่สกปรก ผู้เจ็บอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบาดทะยักได้
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก
ทารกและเด็กเล็กควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักเมื่ออายุครบ 2 เดือน, 4 เดือน, และ 6 เดือน และรับอีกครั้งเมื่ออายุ 15-18 เดือน และฉีดอีกครั้งเมื่ออายุระหว่าง 4-6 ปี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:Centers for Disease Control and Prevention
การตรวจสอบการฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก
ถ้าผู้เจ็บมีบาดแผลสกปรก ควรตรวจสอบว่าได้ฉีดวัคซีนกันบาดทะยักภายใน 5 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ควรไปฉีด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:Centers for Disease Control and Prevention
การฉีดวัคซีนกันบาดทะยักสำหรับเด็กโตและวัยรุ่น
เด็กโตและวัยรุ่นควรได้ฉีดวัคซีนอีกครั้งระหว่างอายุ 11-18 ปี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:Centers for Disease Control and Prevention
การฉีดวัคซีนกันบาดทะยักสำหรับผู้ใ หญ่
ผู้ใหญ่ควรได้รับการฉีดวัคซีนบาดทะยักทุกๆ ปี
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:Centers for Disease Control and Prevention
การดูแลแผลบาดทะยัก
นำวัตถุที่เอาออกได้ออกจากปาก ให้ผู้บาดเจ็บถอดเครื่องประดับที่มีรอบแผลออก เช่น ห่วงเจาะลิ้นหรือปาก และคายอาหารหรือหมากฝรั่งที่กินอยู่ออกจากปากด้วย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:ทำความสะอาดแผล
ขั้นตอนการทำความสะอาดแผล
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:University of Rochester Medical Center
การนำวัตถุออกจากแผล
ถ้ามีวัตถุอยู่ในแผล เช่น สิ่งสกปรกหรือกรวด ต้องเอาออกโดยการให้ผู้บาดเจ็บเปิดน้ำล้างแผลจนกว่าจะไม่มีสิ่งตกค้างเหลืออยู่
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:University of Rochester Medical Center
การทำความสะอาดแผล
ให้เติมน้ำใส่แก้วแล้วนำมาล้างแผลแทน ทำซ้ำจนกว่าจะล้างสิ่งสกปรกออกหมด
ใช้สำลีชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อทำความสะอาดแผลอย่างล้ำล ึก
ระวังอย่าให้ผู้เจ็บเผลอกลืนน้ำยาเข้าไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:University of Rochester Medical Center
ข้อควรระวังเมื่อกดแผลบาด
เมื่อเกิดแผลบาดให้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้เพื่อป้องกันการไหลเลือด:
1. การกดแผลบาด
ผู้บาดเจ็บควรกดแผลบาดเองหากเป็นไปได้ โดยใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซ และกดแผลเบาๆ แต่ให้แน่นเป็นเวลา 15 นาทีเต็ม
2. การเพิ่มผ้าหลังจากแผลชุ่มเลือด
หากผ้าชุ่มเลือด ให้เพิ่มผ้าอีกชั้นโดยไม่ต้องเอาชั้นแรกออก และดูแผลอีกครั้งหลังจากผ่านไป 15 นาที
2.1 การดูแลเลือดที่ยังไหล
หากยังมีเลือดไหลอย่างสม่ำเสมอหลังจากผ่านไป 15 นาทีแรก ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจสอบเพิ่มเติม
3. แผลบาดเจ็บในปาก
ปากเป็นอวัยวะที่มีเส้นเลือดและเลือดอยู่มาก ดังนั้น การดูแลแผลบาดเจ็บที่ปากต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
3.1 การกดแผลเข้าด้านใน

หากเกิดแผลบาดในปาก เข้าไปทางฟัน ขากรรไกร หรือเหงือก หากผู้เจ็บทนไม่ได้ สา มารถยัดผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดไว้ระหว่างฟันกับริมฝีปาก พักแล้วค่อยกดอีกครั้ง
หากมีความจำเป็น กรุณาติดต่อแพทย์เพื่อการประเมินและการรักษาเพิ่มเติม
คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลแผลบาดเจ็บในริมฝีปาก
หากเลือดยังไม่หยุดไหลหลังจากกดแผลติดต่อกันเป็นเวลา 15 นาที หรือผู้เจ็บพบปัญหาในการหายใจหรือการกลืนน้ำลาย ฟันโยกหรือเคลื่อนจากตำแหน่งปกติ หรือถ้าคุณไม่สามารถล้างสิ่งสกปรกหรือเศษต่างๆ ออกได้หมด หรือมีความกังวลว่าผู้เจ็บอาจมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ บริเวณใบหน้าอีก คุณควรพาผู้เจ็บไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าจำเป็นต้องเย็บแผลหรือมีวิธีการรักษาอื่นๆ หรือไม่ ควรดำเนินการโดยเร็วที่สุด เนื่องจากโอกาสที่แผลจะติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากปล่อยให้แผลเปิดและมีเลือดไหล หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรติดต่อแพทย์ทันที
การดูแลแผลในริมฝีปาก
หากแผลอยู่ในส่วนที่เป็นสีแดงของริมฝีปาก และส่วนที่เป็นผิวปกติเหนือหรือล่างริมฝีปากด้วย (ข้ามเส้นขอบปาก) ผู้เจ็บจำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการเย็บแผล การเย็บจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ และช่วยให้มั่นใจว่าแผลจะรักษาตัวได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ แพทย์อาจแนะนำให้เย็บแผลหากมีแผลลึกและมีช่องเปิด หมายความว่าถ้าคุณสามารถใช้นิ้วจับขอบแผลทั้งสองข้างแล้วแยกให้มันเปิดออกได้โดยใช้แรงเพียงเล็กน้อย
แผลที่ต้องเย็บทันที
การฉีกขาดอย่างลึกที่ต้องเย็บ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 8 ชั่วโมงในการเข้ารับการรักษาอย่างปลอดภัย
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
[22] – ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหลหลังจากกดแผลติดต่อกัน 15 นาที หรือผู้เจ็บมีปัญหาในการหายใจหรือกลืนน้ำลาย ฟันโยกหรือเคลื่อนจากตำแหน่งปกติ หรือถ้าคุณไม่สามารถล้างสิ่งสกปรกหรือเศษต่างๆ ออกได้หมด หรือกังวลว่าผู้เจ็บจะมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ บริเวณใบหน้าอีก คุณควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าต้องเย็บแผลหรือรักษาด้วยวิธีอื่นๆ หรือไม่ ควรรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะโอกาสที่จะติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปล่อยให้แผลเปิดและมีเลือดไหล หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรติดต่อแพทย์ ถ้าแผลเป็นทางยาวตลอด ริมฝีปาก จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที
[23] – แผลอยู่ในส่วนที่เป็นสีแดงของริมฝีปาก และส่วนที่เป็นผิวปกติเหนือหรือล่างริมฝีปากด้วย (ข้ามเส้นขอบปาก) ผู้เจ็บต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการเย็บแผล การเย็บจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ
[24] – แพทย์อาจแนะนำให้เย็บแผลด้วย หากมีเนื้อหลุดที่สามารถเย็บได้
[25] – การฉีกขาดอย่างลึกที่ต้องเย็บ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 8 ชั่วโมงในการเข้ารับการรักษาอย่างปลอดภัย
การรักษาแผลในปาก: คำแนะนำและวิธีการ
แผลเล็กๆ ที่เกิดขึ้นภายในปากส่วนใหญ่จะหายเองภายใน 3-4 วัน อย่างไรก็ตาม ถ้าแผลใหญ่หรือลึกมาก การรักษาอาจใช้เวลานานกว่านี้ โดยเฉพาะถ้าแผลตั้งอยู่บริเวณริมฝีปากที่ต้องเคลื่อนไหวบ่อยๆ เช่น ระหว่างการเคี้ยวอาหารและดื่มน้ำ [26]
คำแนะนำในการดูแลแผล
หากผู้บาดเจ็บได้พบแพทย์แล้ว ควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ในการดูแลแผล รวมถึงการทายาตามที่แพทย์สั่ง เช่น ยาปฏิชีวนะ และการประคบเย็น การใช้ถุงน้ำแข็งหรือน้ำแข็งก้อนห่อด้วยผ้าสะอาดหรือถุงซิปล็อก จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและลดการอักเสบ [27]
การประคบเย็นแผล
ท่านควรประคบเย็นแผลเป็นเวลา 20 นาที และเอาออกเป็นเวลา นาที [28]
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่เฉพาะเจาะจงหรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ หลังจากที่ได้ห้า มเลือดเบื้องต้นแล้ว คุณควรดูแลแผลให้มันหายขาด เรื่องของการใช้ครีมฆ่าเชื้อยังมีความขัดแย้งในวงการแพทย์ ว่าครีมฆ่าเชื้อจำเป็นหรือช่วยได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไป [29]
อย่างไรก็ตาม การศึกษาบางรายงานชี้ว่าครีมฆ่าเชื้อสามารถช่วยในการรักษาได้หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม หากคุณเลือกที่จะใช้ครีมทาแผลเฉพาะ คุณสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผลของคุณ และควรใช้ตามปริมาณที่แนะนำเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการทาเยอะหรือบ่อยเกินไป
น้ำผึ้งและน้ำตาลทราย
คุณสามารถทาน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายลงบนแผลได้ น้ำตาลจะช่วยดูดซับน้ำออกจากแผล และป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเติบโตจากความชื้น ส่วนน้ำผึ้งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย [30]
ผลการศึกษาพบว่าการทาน้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงบนแผลก่อนปิดแผลจะช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันการติดเ ชื้อได้ [31]
อย่าลืมว่าการเคลื่อนไหวของปากอาจจำกัดบางส่วน [31]
การดูแลแผลเปิดในปาก
หากผู้บาดเจ็บอ้าปากกว้างเกินไป เช่น ขณะหาว หัวเราะหนักๆ หรือกินอาหารคำใหญ่ อาจทำให้เจ็บแผลและเปิดแผลอีกได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อการติดเชื้อ ดังนั้น ควรระวังและดูแลแผลให้ดีเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
การดูแลแผลให้เปิดต่อไป
หากเกิดการเปิดแผลในปาก คุณควรทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:
- กินอาหารอ่อนๆ เพื่อลดความเค็มของอาหารที่อาจทำให้เจ็บแผลได้
- เคี้ยวอาหารน้อยลงเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อลดโอกาสที่แผลจะเปิดอีก
- ดื่มน้ำเพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ร่างกายและเนื้อเยื่อ และช่วยป้องกันการเปิดแผลอีกครั้ง
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เพื่อป้องกันการเปิดแผลในปากอีกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีลักษณะดังนี้:
- อาหารที่แข็ง กรอบ หรือแหลมคม เช่น มันฝรั่งทอด หรือตอติญ่าชิพส์
- อาหารที่มีเกลือหรือมะนาวเข้าไป ในแผล เพราะอาจทำให้แสบแผลได้
สัญญาณระดับความรุนแรง
หากผู้บาดเจ็บมีอาการต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที:
- มีไข้ 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า
- แผลมีอาการบวม แดง รู้สึกร้อนหรือเจ็บแผลมากขึ้น หรือแผลเป็นหนอง
- ปัสสาวะน้อยลง
- ชีพจรเต้นเร็ว
- หายใจเร็ว
- มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
- มีอาการท้องร่วง
- อ้าปากไม่ค่อยได้ ผิวหนังบริเวณรอบแผลเป็นรอยแดง กดเจ็บ หรือบวม
การดูแลแผลเปิดในปากให้เหมาะสมและทันทีเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดปัญหาเพิ่มเติม แต่หากคุณมีความเสี่ยงหรือมีอาการเช่นไข้สูง บวม เจ็บแผลรุนแรง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- [32] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [33] Seattle Children’s Hospital
- [34] Seattle Children’s Hospital
- [35] Seattle Children’s Hospital
- [36] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [37] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [38] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [39] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [40] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [41] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [42] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- [43] แหล่งข้อมูลอ้างอิง
คำเตือน: อย่าจับแผลยกเว้นเวลาทำแผล
เพราะการจับแผลอาจทำให้เกิดความเจ็บและเป็นทางเข้าให้เชื้อโรคสกปรกหรือแบคทีเรียได้เข้าทำลายร่างกายได้
การป้องกันโรคติดต่อทางเลือด
โรคติดต่อทางเลือดสามารถแพร่กระจายได้ง่าย ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคนี้ จำเป็นต้องดำเนินการดังนี้:
- สวมถุงมือยางเมื่อทำแผล
- ล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังจากทำแผลให้ผู้อื่น
- หากแผลมีอาการแย่ลงควรไปพบแพทย์ทันที
การรักษาแผลที่ถูกกัดโดยสัตว์
หากแผลเกิดจากการถูกกัดโดยสัตว์ เช่น สุนัข หรือแมว จะมีความเสี่ยงที่แผลนั้นจะติดเชื้อ ดังนั้นจึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
ควรรีบไปพบแพทย์หาก:
- แผลมีอาการแย่ลง
- แผลเกิดจากการถูกกัดโดยสัตว์
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณ