การหารด้วยตัวหารที่มีสองหลักเหมือนกับการหารด้วยตัวหารที่มีเลขหลักเดียวมาก
การหารด้วยตัวหารที่มีสองหลักเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลานานกว่าเมื่อเราหารด้วยตัวหารที่มีเลขหลักเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องฝึกฝนในการดำเนินการนี้เพิ่มเติมด้วย
เป็นที่รู้กันว่าส่วนใหญ่คนไม่นิยมจำสูตรคูณของหลายแม่ เมื่อต้องการที่จะหารด้วยตัวหารที่มีสองหลัก เนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องคาดเดาผลลัพธ์ได้บ้าง แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีวิธีที่ช่วยให้เราสามารถดำเนินการหารได้เร็วขึ้น
หากเราฝึกฝนและปฏิบัติตามวิธีการที่ถูกต้อง เราจะสามารถทำการหารด้วยตัวหารที่มีสองหลักได้อย่างง่ายดายมากขึ้น
ดังนั้น ไม่ควรกังวลหรือท้อใจหากในตอนแรกการหารด้วยตัวหารที่มีสองหลักใช้เวลานานกว่าปกติ

การหารด้วยตัวหารที่มีสองหลัก
เมื่อต้องการหารด้วยตัวหารที่มีสองหลัก ขั้นแรกเราจะดูที่เลขตัวแรกของตัวตั้งหาร เพื่อสืบทอดวิธีการหารยาว โดยเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบว่า “เลขตัวแรกของตัวตั้งหารสามารถหารด้วยตัวหารได้หรือไม่” ตัวอย่างเช่น ในการหาผลลัพธ์ของ 3472 ÷ 15 เราจะสอบถามว่า “3 หาร 15 ได้ไหม” ซึ่งเนื่องจาก 15 มีค่ามากกว่า 3 แต่เพียงค่าเดียว คำตอบจึงเป็น “ไม่สามารถหารลงตัวได้” เราจึงต้องดำเนินขั้นตอนต่อไป
ขั้นตอนถัดไปคือการดูที่เลขสองตัวแรกของตัวตั้งหาร โดยจะตรวจสอบว่าเลขตัวแรกของตัวตั้งหารสามารถหารด้วยเลขสองหลักของตัวหารได้หรือไม่ หากไม่สามารถหารได้ จะต้องดูที่เลขสองตัวแรกของตัวตั้งหารแทน ดังเช่นในการหารปกติ ในตัวอย่างนี้ 34 หาร 15 ได้ไหม คำตอบคือได้ ฉะนั้นเราสามารถเริ่มการหารได้
เราจะลองคาดคะเนหากำลังของตัวหารที่ต้องคูณกับตัวเลขใดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับตัวตั้งหาร ถ้าเรามีคำต อบอยู่แล้วก็ดี แต่ถ้ายังไม่ทราบคำตอบเราจะพยายามคาดคะเนและตรวจสอบคำตอบด้วยการคูณ เราต้องหาคำตอบของ 34 ÷ 15 หรือ “15 ต้องคูณกับตัวเลขใดถึงจะได้ 34” เราจะมองหาตัวเลขที่สามารถคูณกับ 15 แล้วได้ตัวเลขที่น้อยกว่า 34 แต่ใกล้เคียงมากที่สุด ดังนี้ เรามาคูณ 15 ด้วย 1 กัน 15 x 1 = 15 ซึ่งน้อยกว่า 34 แต่เรายังไม่ได้คำตอบแน่ชัด จากนั้นเรามาคูณ 15 ด้วย 2 กัน 15 x 2 = 30 ซึ่งยังน้อยกว่า 34 แต่การคูณกับ 2 ให้คำตอบที่ใกล้เคียงกว่าการคูณกับ 1 ดังนั้นเรามาคูณ 15 ด้วย 3 กัน 15 x 3 = 45 ซึ่งมากกว่า 34 เยอะเลยทีเดียว! ดังนั้นคำตอบคือ 2 ซึ่งเราจะเขียนคำตอบนี้เหนือตัวเลขล่าสุดที่เราใช้
หากเราใช้วิธีการหารยาว เราจะต้องเขียนตัวเลขนี้เหนือตัวตั้ง ดังนั้นหลังจากการหาร 34 ÷ 15 เราจะเขียนคำตอบซึ่งคือ 2 ไว้เหนือตัวเลข “4” แล้วนำคำตอบมาคูณกับตัวหาร
การหารยาวแบบเดียวกัน
การหารยาวแบบเดียวกันคล้ายกับการหารตามปกติ แต่ตัวหารในกรณีนี้มีสองหลัก
เราจะใช้ตัวอย่างการหารเลข 34 ด้วย 15 เพื่ออธิบาย
ขั้นตอนที่ 1: การหารเลข
ตัวหารคือ 15 และตัวหารคือ 2
คำตอบคือ 2 และผลคูณคือ 30 (2 x 15 = 30)
ขั้นตอนที่ 2: การลบผลคูณ
เขียนผลคูณ 30 ใต้ 34 และทำการลบผลคูณกับตัวหาร
คำตอบคือ 4 (34 – 30 = 4)
ขั้นตอนที่ 3: การดึงตัวเลขต่อไป
ดึงเลขตัวถัดไปของตัวตั้งลงมา
เลขตัวถัดไปคือ 7 จากเลข 3472
ขั้นตอนที่ 4: การคูณตัวหาร
คูณคำตอบกับตัวหาร
ผลคูณคือ 47 (4 x 15 = 60 ไม่ถูกต้อง เราจึงลดตัวคูณลงมาเป็น 3)
ขั้นตอนที่ 5: การหารต่อ
หารตัวเลขใหม่ 47 ด้วย 15
คำตอบคือ 3 (47 ÷ 15 = 3)
ขั้นตอนที่ 6: การลบ
เลขตัวเลขใหม่ 3 ออกจาก 47
คำตอบคือ 2 (47 – 45 = 2)
การหารยาวต่อไป
ดำเนินการหารยาวต่อไปตามขั้นตอนเดียวกัน
ถ้าตัวเลขที่มีค่าน้อยกว่าตัวหารที่มีค่ามากกว่า (เช่น 13 ÷ 15) ให้นำตัวเลขอีกตัวลงมา
การคาดเดา
หากต้องการหาผลหารที่แม่นยำขึ้น เราอาจลองใช้การคาดเดา
เลข 47 เป็นตัวเลขที่มากกว่าตัวเลขก่อนหน้านี้ ดังนั้นเราอาจต้องใช้ตัวคูณที่มีค่ามากกว่านี้
ลองใช้ 45 ดู (15 x 3 = 45) ตัวเลขที่ได้มีค่าน้อยกว่า 47 และใกล้เคียง
เราใส่ 3 ไว้เหนือตัวตั้ง โดยให้ตรงกับเลข 7
ดำเนินการหารยาวต่อ
กลับไปทำขั้นตอนการหารยาวต่อไปตามที่ได้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้
นำคำตอบที่หารได้มาคูณกับตัวหาร และลบผลคูณออกจากตัวตั้ง
ตอนนี้เหลือแค่การลบตัวเลขกัน
3 x 15 = 45 ให้เขียน “45” ไว้ใต้ 47 และทำการลบ
47 – 45 = 2 เขียน “2” ไว้ใต้ 45
ดึงตัวเลขอีกตัวลงมา
วิธีการหารตัวเลข
ในกระบวนการหารตัวเลข, เราจะดึงเลขตัวถัดไปของตัวตั้งลงมาเพื่อจะได้สามารถนำตัวตั้งหารตัวหารได้ โดยทำซ้ำขั้นตอนข้างต้นจนกว่าจะได้ตัวเลขที่เป็นคำตอบ ดังนั้น เราจะพิจารณาตัวอย่างการหาร 2 ÷ 15 ต่อไป
ขั้นตอนที่ 1: 2 ÷ 15
ตอนนี้ 2 มีค่าน้อยกว่า 15 จึงไม่สามารถหารได้ ดังนั้น เราจะดึงเลขตัวถัดไปของตัวตั้งลงมา กลายเป็น 22 ÷ 15 โดยที่ 15 แค่ตัวเดียวถึงจะมีค่าใกล้เคียง 22
ดังนั้น เราจะเขียน “1” ไว้เหนือตัวตั้ง
ขั้นตอนที่ 2: 22 ÷ 15
ผลหารของเราคือ 231 หาเศษจากการหาร โดยนำผลคูณที่ได้ไปลบออกเพื่อจะได้เศษที่เหลือจากการหาร
จากนั้น เราก็จะเสร็จสิ้นขั้นตอนการหารตัวหารที่มีสองหลัก ถ้าลบกันแล้วได้ 0 เราก็ไม่ต้องเขียนเศษที่ เหลือ
1 x 15 = 15 เขียน 15 ไว้ใต้ 22
22 – 15 = 7
เมื่อเราไม่เหลือตัวเลขให้ดึงลงมาอีกแล้ว ก็ไม่สามารถหารตัวหารได้อีก ให้เราเขียนว่า “เศษ 7” ที่หลังผลหารของเรา
สรุปผลการหาร
ดังนั้น 3472 ÷ 15 = 231 เศษ 7
การหาค่าประมาณใกล้เคียงจำนวนเต็มสิบ
ในการหารตัวเลขที่มีตัวหารเป็นเลขสองหลัก, คำนึงถึงการคูณตัวหารกับตัวเลขใดจึงจะได้ผลลัพธ์ที่เท่ากับตัวตั้งหารไม่เป็นเรื่องง่ายเสมอไป การหาค่าประมาณใกล้เคียงจำนวนเต็มจะช่วยให้เราเดาตัวเลขได้ง่ายขึ้น
วิธีการหาค่าประมาณใกล้เคียง
วิธีนี้สามารถใช้กับการหารตัวเลขที่มีค่าไม่มากนักหรือการหารยาวบางช่วงบางตอน
ตัวอย่างเช่น, เราต้องการหาคำตอบของการหาร 43 ÷ 27 โดยไม่ต้องเดาว่า 27 คูณกับตัวเลขใดจึงจะได้ 143 ให้เรามาหาคำตอบ 43 ÷ 30 แทน โดยนับนิ้วเพื่อช่วยในการบวกตัวหาร
ในตัวอย่างของเราจะเริ่มการบวกทีละ 30 แทนการบวกทีละ 27 เพื่อทำให้กระบวนการง่ายขึ้น
เมื่อบวกทีละ 30 ก็จะได้ 30, 60, 90, 120, และ 150
ถ้าเห็นว่าการบวกทีละสามสิบยังเยอะเกินไป ให้บวกทีละสามก็ได้แล้วค่อยใส่ 0 ตอนหลัง
ให้บวกไปจนกว่าจะได้ตัวเลขที่มีค่ามากกว่าตัวตั้ง (143) จากนั้นจึ งหยุด
เลือกคำตอบที่ใกล้เคียงมาสองคำตอบ
การนับนิ้วเพื่อหาคำตอบ
เรานับนิ้วเพื่อจะได้รู้ว่าต้องใช้กี่นิ้วถึงจะได้คำตอบที่ใกล้เคียง
เมื่อนับนิ้วตามลำดับ 30 (หนึ่งนิ้ว), 60 (สองนิ้ว), 90 (สามนิ้ว), 120 (สี่นิ้ว)
ฉะนั้น 30 x สี่ = 120
150 (ห้านิ้ว)
ฉะนั้น 30 x ห้า = 150
ดังนั้น 4 และ 5 น่าจะเป็นคำตอบของการหารนี้
ตรวจสอบคำตอบ
คราวนี้เราได้ลองเดาคำตอบอย่างมีหลักการแล้ว ลองนำตัวเลขนี้มาตรวจคำตอบว่าเป็นผลหาร 43 ÷ 27 หรือไม่
27 x 4 = 108
27 x 5 = 135
ตรวจให้มั่นใจว่าไม่มีตัวเลขไหนใกล้เคียงกว่านี้แล้ว
เนื่องจากผลคูณที่ได้ต้องน้อยกว่า 143, อาจลองคูณเลขเพิ่มอีกสักตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีตัวเลขใดใกล้เคียงกว่านี้แล้ว
27 x 6 = 162
ตัวเลขนี้มากกว่า 143 ฉะนั้นจึงไม่ใช่คำตอบ
27 x 5 จึงให้คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดและไม่เกินตัวตั้ง
ฉะนั้น 143 ÷ 27 = 5 (บวกกับเศษ 8 เพราะ 143 – 135 = 8)
คุณกำลังดูโพสต์นี้ วิธีการ หารด้วยตัวหารที่มีสองหลัก
วิธีเคล็ดลับในการคูณโดยไม่ต้องใช้การนับมือช่วย
การคูณเลขที่ยาวอาจทำให้เราสับสนและลืมได้ง่าย ดังนั้น เราสามารถใช้เคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อช่วยในกระบวนการคูณโดยไม่ต้องใช้การนับมือช่วย:
ขั้นที่ 1: กระจายตัวเลข
ให้เราเขียนสมการโดยกระจายตัวเลขและหาคำตอบแต่ละส่วนในใจ ตัวอย่างเช่น 14 x 16 เราสามารถกระจายเป็น (14 x) + (14 x 6) ได้
14 x= 140
14 x 6= 84
ขั้นที่ 2: หาผลคูณแต่ละส่วน
หลังจากนั้น เราต้องหาผลคูณแต่ละส่วนตามที่เรากระจายไว้ ในที่นี้คือ 4 x 6
4 x 6= (10 x 6) + (4 x 6)
ส่วนที่ 1: 10 x 6
10 x 6 = 60
ส่วนที่ 2: 4 x 6
4 x 6 = 24
ขั้นที่ 3: บวกผลลัพธ์ทั้งหมด
เมื่อเราได้ผลคูณแต่ละส่วนแล้ว เราสามารถนำทั้งหมดมาบวกกัน เพื่อหาผลลัพธ์สุดท้ายได้
ผลลัพธ์ทั้งหมดคือ 140 + 60 + 24 = 224
ด้วยเคล็ดลับนี้ เราสามารถคูณเลขที่ยาวได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้การนับมือช่วย
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และให้ข้อมูลที่จำเป็นให้คุณได้รับรู้